สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า “การเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ของสถาบันการเงินจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025”

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ลดลง ชี้สาเหตุหลักมาจากปัญหาการปล่อยสินเชื่อรถยนต์

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ได้ปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปี 2566 เนื่องจากยอดขายในประเทศและการส่งออกยังคงซบเซา อย่างไรก็ตาม FTI มองว่าสถานการณ์ยังไม่มีสัญญาณที่เลวร้ายลงกว่าเดิม จึงเชื่อว่าเป้าหมายที่ปรับลดลงสามารถบรรลุได้

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน FTI และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ระบุว่า “ปัญหายอดขายรถยนต์ใหม่ในตลาดภายในประเทศเกิดจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ และแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568”


สถานการณ์การผลิตรถยนต์และการปรับเป้าหมาย

ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2566 ประเทศไทยมียอดการผลิตรถยนต์เพียง 1.36 ล้านคัน ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสถานการณ์ดังกล่าว กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปีนี้ลงจาก 1.9 ล้านคัน เหลือ 1.7 ล้านคัน

อย่างไรก็ตาม FTI เชื่อว่าเป้าหมายใหม่นี้สามารถบรรลุได้ หากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติมเข้ามากระทบ


ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศลดลง

ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศลดลงในหลายหมวดหมู่ ดังนี้:

  • รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป
    • รถยนต์นั่งส่วนบุคคล: ลดลง 28.1% (12,006 คัน)
    • รถกระบะ: ลดลง 35.6% (11,481 คัน)
    • รถ PPV (Pick-up Passenger Vehicle): ลดลง 30.5% (2,954 คัน)
    • รถบรรทุก: ลดลง 45.7% (1,181 คัน)
    • รถประเภทอื่น ๆ: ลดลง 12.2% (1,346 คัน)
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
    • BEV (Battery Electric Vehicle): ลดลง 36.5% (5,519 คัน)
    • PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle): เพิ่มขึ้น 346% (223 คัน)
    • HEV (Hybrid Electric Vehicle): ลดลง 26.5% (7,599 คัน)

ยอดขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปลดลงในทุกหมวดหมู่ โดยเฉพาะรถบรรทุกที่มียอดลดลงสูงสุด ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ามีเพียง PHEV ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น แต่หมวด BEV และ HEV ยังมีการชะลอตัว


ปัญหาการปล่อยสินเชื่อยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ

นายสุรพงษ์ระบุว่า หนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ในประเทศคือ การที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้กู้รายใหม่ ส่งผลให้ตลาดในประเทศเผชิญกับความยากลำบาก และแนวโน้มนี้อาจยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568


แนวทางแก้ไขและมุมมองต่ออนาคต

จากปัญหาที่เกิดขึ้น FTI ได้ระบุแนวทางแก้ไขและความท้าทายที่สำคัญสำหรับอนาคต ดังนี้:

  1. การขยายตลาดส่งออก
    • มุ่งเน้นการพัฒนาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม
  2. การสนับสนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
    • รัฐบาลควรเพิ่มมาตรการจูงใจและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของตลาด EV
  3. การผ่อนคลายสินเชื่อรถยนต์
    • ร่วมมือกับสถาบันการเงินในการพิจารณาทบทวนเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

การปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญ แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อุตสาหกรรมนี้ยังมีศักยภาพที่จะฟื้นตัวและเติบโตได้ในอนาคต